วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557




ซาก 





          ซาก ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrophloeum succirubrum Gagnep, Erythrophloeum teysmannii (Kurz) Craib. จัดอยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE (FABACEAE) และจัดอยู่ในวงศ์ย่อย MIMOSACEAE[1] บ้างว่าอยู่ในวงศ์ย่อย CAESALPINIOIDEAE[4],[5] สมุนไพรซาก ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า ผักฮาก (ภาคเหนือ), ชาด พันชาด ไม้ชาด ซาด พันซาด (ภาคอีสาน), ตะแบง (อุดรธานี), ซาก คราก (ชุมพร), ตร้ะ (ส่วย-สุรินทร์), เตรีย (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น 
          ลักษณะของต้นซาก ต้นซาก หรือ ต้นพันชาด จัดเป็นพรรณไม้ผลัดใบยืนต้นขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นตั้งตรงมีความสูงประมาณ 20-35 เมตร ลำต้นมีขนาดใหญ่ ออกใบดกและหนาทึบ เปลือกลำต้นเป็นสีดำ แตกเป็นร่องค่อนข้างลึกตามยาวและตามขวางของลำต้น เนื้อไม้ด้านในเป็นสีขาว และแก่นกลางไม้มีเนื้อแข็งเป็นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง โดยจัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดด มักพบขึ้นตามป่าราบและป่าผลัดใบ พบได้เป็นจำนวนมากในจังหวัดนครราชสีมา หรือพบได้มากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาควันออก ภาคกลาง และทางภาคใต้ตอนบน



ต้นชะลูด




          ต้นชะลูด ชื่อวิทยาศาสตร์ Alyxia reinwardtii Bl.[1], Alyxia reinwardtii Blume var. lucida Markgr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Alyxia nitens Kerr. หรืออาจได้จากต้นชะลูดช่อสั้น Alyxia schlechteri H. Lev.)จัดอยู่ในวงศ์ APOCYNACEAE[1] สมุนไพรชชะลูด ะลูด ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า ลูด (ปัตตานี), ชะนูด (สุราษฎร์ธานี),ตุ่น ต้นธูป (ภาคอีสาน), ชะลูด (ตราด, ภาคกลาง), นูด (ภาคใต้), ชะรูด (ไทย) เป็นต้น
          ลักษณะของต้นชะลูด ต้นชะลูด จัดเป็นพรรณไม้เถาขนาดเล็ก ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเป็นสีดำ ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นกระจัดกระจายอยู่ในป่าดิบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และทางภาคใต้

ช้างงาเดียว




        ช้างงาเดียว ช้างงาเดียว ชื่อวิทยาศาสตร์ Luvunga scandens (Roxb.) Buch.-Ham. จัดอยู่ในวงศ์ RUTACEAE มีชื่อถ้องถิ่นอื่นๆ ว่า ช้างงาเดียว (จันทบุรี), หนามคาใบ (ประจวบคีรีขันธ์), หนามเกียวไก่ หนามคือไก่ (ภาคเหนือ) เป็นต้น ส่วนหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทยของ ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม ได้ระบุว่า สมุนไพรช้างงาเดียว นั้นมีชื่อว่าวิทยาศาสตร์ Paramignys Scandens Craib. โดยจัดอยู่ในวงศ์ RUTACEAE เช่นเดียวกับชนิดแรก และมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า หนามคาใบ หนามควาก ช้างงาเดียว (เชียงใหม่), ช้างงาเดียว (จันทบุรี), หนามคาใบ หนามเดือยไก่ (ประจวบคีรีขันธ์), เดือยไก่ (สตูล) เป็นต้น หมายเหตุ : ผู้เขียนเข้าใจว่าพรรณไม้ทั้งสองชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกัน เพียงแต่ว่าเป็นคนละสายพันธุ์ ส่วนในด้านสรรพคุณทายา เข้าใจว่าน่าจะเหมือนกันและสามารถนำมาใช้แทนกันได้ (ตามภาพประกอบเป็นช้างงาเดียวชนิด Luvunga scandens (Roxb.) Buch.-Ham.) 
        ลักษณะของช้างงาเดียว ต้นช้างงาเดียว จัดเป็นไม้รอเลื้อยที่มีลำต้นขนาดเล็ก สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 25-30 เมตร พรรณไม้ชนิดนี้มักพบขึ้นเองป่าดิบ ป่าเบญจพรรณ และตามป่าบนเขาสระบาป โดยจะพบได้มากที่จังหวัดจันทบุรี


โสม




        โสม ชื่อสามัญ Ginseng (จินเซ็ง), Panax, Korean ginseng, Asian ginseng[4] โสมเกาหลี ชื่อวิทยาศาสตร์ Panax ginseng C.A.Meyer. จัดอยู่ในวงศ์ ARALIACEAE สมุนไพรโสมเกาหลี ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า โสมจีน, โสมคน, โสมสวน, โสมป่า, เซียมเซ่า, หยิ่งเซียม (จีนแต้จิ๋ว), เหยินเซิน (จีนกลาง) เป็นต้น

        ลักษณะต้นโสม โสมเป็นพืชโตช้า ถ้าเพาะจากเมล็ดจะต้องใช้เวลาถึง 5-6 ปี จึงจะเก็บมาใช้ได้ โดยในปีแรกจะมีความสูงเพียง 1 ฟุต มีใบ 1 ใบ ประกอบด้วยใบย่อย 3-5 ใบ และใบจะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ใบ เมื่อถึงปีที่ 3 ก็จะเริ่มออกดอก เมื่ออายุ 4-5 ปี ต้นจะสูงประมาณ 2 ฟุต โสมเกาหลีเป็นพืชที่ปลูกยาก ต้องการภูมิอากาศเฉพาะ การเพาะปลูกจะต้องปลูกในที่ที่ไม่เคยปลูกโสมมาก่อนในช่วงระยะเวลา 10-15 ปี ต้องปลูกในที่ที่มีแสงไม่มาก และต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี สามารถขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดจากต้นแก่ที่มีอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป แล้วต้องนำเมล็ดที่ได้ไปปลูกทันที เพราะหากทิ้งไว้ให้แห้งจะไม่ขึ้นทันที จะงอกใน 8 เดือน แต่ถ้าทิ้งเมล็ดไว้ 4 เดือนแล้วจึงนำมาปลูกในที่ชื้น จะใช้เวลา 9 เดือนจึงจะงอก โสมเป็นพืชที่ชอบดินเหนียว มีค่า pH ประมาณ 5.5-6.0 อุณหภูมิที่ปลูกประมาณ 0-15 องศาเซลเซียส ไม่ชอบแสงแดด จึงต้องทำร่มบังให้ ภูมิอากาศในประเทศไทยจึงไม่เหมาะสำหรับการปลูกโสมและยังไม่สามารถปลูกโสมได้ ในปัจจุบันปลูกกันมากในประเทศเกาหลี จีน รัสเซีย และญี่ปุ่น[1],[2],[3] อีกข้อมูลหนึ่งระบุว่าโสมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจะเรียกว่า “โสมป่า” ส่วนโสมที่มีคนนำมาเพาะปลูกจะเรียกว่า “โสมสวน” โดยโสมป่าจะมีรากขนาดเล็กและยาวกว่าโสมส่วน บริเวณส่วนหัวของรากจะยาวและมีการแตกรากมาก รากฝอยจะยาวและเหนียวกว่าโสมสวน และมีคุณภาพที่ดีกว่าอีกด้วย

โสมซานซี


        โสมซานชี ชื่อสามัญ Sanchi Ginseng โสมซานชี ชื่อวิทยาศาสตร์ Panax notoginseng (Burk. ) F. H. Chen จัดอยู่ในวงศ์ ARALIACEAE[1] ซานชี คำว่า “ซาน” หมายถึง 3 ส่วนคำว่า “ชี” หมายถึง 7 ในภาษาจีนจะเขียนว่า 三七 ส่วนในภาษาอังกฤษจะเขียนได้ 2 แบบ คือ Sanchi และ Sanqi หมายเหตุ : โสมซานชีที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นโสมคนละชนิดกันกับโสมจีนหรือโสมเกาหลี ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panax ginseng C.A.Meyer.                                ลักษณะของโสมซานชี ต้นโสมซานซี จะมีกิ่ง 3 กิ่ง และในแต่ละกิ่งจะมีใบ 7 ใบ จึงถูกเรียกรวมกันว่า “ซานชี” ซึ่งหมายถึงต้นไม้ที่มีกิ่ง 3 กิ่ง และในแต่ละกิ่งจะมีใบ 7 ใบ โดยต้นโสมซานชีนั้นจัดเป็นพืชยืนต้น ที่มีความสูงของต้นประมาณ 1.2 เมตร มีอัตราการเจริญเติบโตช้า มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน โดยมีแหล่งกำเนิด ณ เหวินซานโจว ที่จังหวัดยูนนาน ของสาธารณรัฐประชาชนจีน 
โสมอเมริกา



        โสมอเมริกา ชื่อสามัญ American gingseng, Asiatic gingseng, Redberry[1],[2] โสมอเมริกา ชื่อวิทยาศาสตร์ Panax quinquefolius Linn. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Panax schin-seng Nees.) จัดอยู่ในวงศ์ ARALIACEAE[1] (Panax มาจากคำว่า Panaxis ที่ได้มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า “Panacia” ที่แปลว่า “รักษาได้ทุกโรค”)[2] สมุนไพรโสมอเมริกา ยังมีชื่ออื่นๆ อีกว่า โสมห้านิ้ว, โสมห้าใบ, โสม, โสมเกาหลี, โสมจีน, โสมญี่ปุ่น, ส่วนจีนเรียก “Xi Yang Shen ข้อควรรู้ : โสมอเมริกาเป็นโสมคนละชนิดกับโสมเกาหลีหรือโสมจีน ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panax ginseng C.A.Meyer.)
           ลักษณะต้นโสมอเมริกา พบขึ้นครั้งแรกในป่าแถบอเมริกาเหนือ และได้มีการเพาะปลูกครั้งแรกในประเทศอเมริกาเมื่อปลายปี ค.ศ.1800 จัดว่ามีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุเกินกว่า 2 ปี ต้นมีความสูงได้ประมาณ 2-3 ฟุต แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้น ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ต้นโสมเป็นพืชที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยจะต้องควบคุมในเรื่องของอุณหภูมิ แสงแดด และความชื้นอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นรากโสมจะไม่สมบูรณ์ ในสมัยก่อนจะมีปลูกกันในแถบป่าทางเอเชียตะวันตก แต่ในปัจจุบันมีการปลูกมากในอเมริกา แคนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน[1] 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น